เอ็กโก กรุ๊ป โชว์กำไรสุทธิ Q3/2566 เฉียด 2,400 ล้านบาท เร่งปิดดีลใหญ่ “พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ” สหรัฐอเมริกา
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ประกาศผลประกอบการแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 2,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 704% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดันกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้เป็น 5,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลุยปิดดีลใหญ่ “พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ” สหรัฐอเมริกา พร้อมเดินหน้าแสวงหาโอกาส M&A โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและพลังงานสะอาด รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป ได้สร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการบริหารการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอและต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม ส่งผลให้การดำเนินงานในปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งกดดันต้นทุนเชื้อเพลิงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับความก้าวหน้าทางธุรกิจที่สำคัญในไตรมาสที่ 3 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การลงนามเพื่อซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% ในพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ การเปิดให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ทีพีเอ็น) เต็มรูปแบบ และความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (หุ้นกู้กรีนบอนด์) มูลค่า 7,000 ล้านบาท
ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป มีรายได้รวมทั้งสิ้น 13,910 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 3,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้าพาจู อีเอส เกาหลีใต้ ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและต้นทุนขายลดลง โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน สหรัฐอเมริกา ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและมีอัตราค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น รวมทั้งโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 สปป.ลาว ที่มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 704% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงลดลง
สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในอนาคตอันใกล้ของเอ็กโก กรุ๊ป ได้แก่ การปิดดีลการซื้อหุ้นพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2566 การผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น (ส่วนขยาย) จ.ระยอง กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ ที่มีความคืบหน้ากว่า 90% ให้สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตามกำหนด ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งหยุนหลิน ไต้หวัน กำลังผลิต 640 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าในการก่อสร้างได้ตามแผนงาน และสามารถขจัดความท้าทายต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี โดยทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 264 เมกะวัตต์ ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้ดีกว่าเป้าหมาย โดยคาดว่าโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จตามกำหนดภายในปี 2567
“เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ระยะสั้น “4S” ที่เน้นการสร้างรายได้อย่างรวดเร็วและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูง (Select high quality projects) ในรูปแบบ M&A ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก (Conventional) อย่างก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน (Renewable) เพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศ ที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันยังได้วางแผนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตอย่างซัพพลายเชนไฮโดรเจนที่มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (2050)” นายเทพรัตน์ กล่าว
เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 7,023 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,418 เมกะวัตต์ (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทีพีเอ็น” โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “เพียร์ พาวเวอร์” บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “อินโนพาวเวอร์” เอ็กโก กรุ๊ป ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) มา 3 ปีต่อเนื่อง และตั้งเป้าบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050