เอ็กโก กรุ๊ป อนุมัติจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังของปี 2565 หุ้นละ 3.25 บาท อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท เสริมแกร่งธุรกิจไฟฟ้าและต่อยอดธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง

ข่าวสารและความเคลื่อนไหว

เอ็กโก กรุ๊ป อนุมัติจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังของปี 2565 หุ้นละ 3.25 บาท อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท เสริมแกร่งธุรกิจไฟฟ้าและต่อยอดธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง

12 เมษายน 2566

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุม AGM ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 หุ้นละ 3.25 บาท หากรวมเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้ว คิดเป็นเงินปันผลที่จ่ายทั้งหมดหุ้นละ 6.50 บาท พร้อมอัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งพลังงานดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน และต่อยอดการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยประกาศนโยบาย No Coal ไม่ลงทุนในโรงไฟฟ้าและธุรกิจถ่านหินเพิ่มเติม เพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 


 

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคงด้วยพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย มีสภาพคล่องทางการเงิน และมีกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ทำให้เอ็กโก กรุ๊ป มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมAGM ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท คิดเป็นเงิน 1,711 ล้านบาท รวมจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2565 อยู่ที่หุ้นละ 6.50 บาท คิดเป็นเงินปันผลที่จ่ายทั้งสิ้น 3,422 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน 2566

“สำหรับแผนการลงทุนในอนาคต เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 ด้วยการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยไม่ลงทุนในโรงไฟฟ้าหรือธุรกิจถ่านหินเพิ่มเติม ในขณะเดียวกันจะบริหารโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและปลดปล่อยคาร์บอนให้น้อยที่สุด ด้วยการศึกษาเพื่อนำไฮโดรเจนและแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังมุ่งสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจด้วยการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานครบวงจรอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป ได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามแผนการลงทุนข้างต้น” นายเทพรัตน์ กล่าว

สำหรับโครงการ “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ซึ่งเป็นการก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่ล่าช้าและมีต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นนั้น เอ็กโกกรุ๊ป ในฐานะหนึ่งในผู้ถือหุ้น ได้ร่วมศึกษาผลกระทบ การจัดทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อพิจารณาแนวทางที่เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนได้เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิด และร่วมปรับแผนการก่อสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 2567

เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,202 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมสูงถึง 1,248 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (“ทีพีเอ็น”) โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม (“อินโนพาวเวอร์”) บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (“เพียร์ พาวเวอร์”) ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.egco.com และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/EGCOGroup