เอ็กโก กรุ๊ป อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ก้าวกระโดดตามทิศทางพลังงานโลก รุกต่อยอดธุรกิจ “พลังงานหมุนเวียน – การผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน”
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ในปี 2565 แสวงหาโอกาสสร้างการเติบโตตามทิศทางพลังงานโลก ลุยต่อยอดความสำเร็จด้านพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกาผ่าน “เอเพ็กซ์” ควบคู่พัฒนาเทคโนโลยี “การผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน (Hydrogen to Power)” ตอบโจทย์อนาคต เจาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่สอดคล้องกับยุคเทคโนโลยีดิสรัปชันและเทรนด์โลกซึ่งมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยงบลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท ในปี 2565 โดยเน้นการเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไฟฟ้า ด้วยการตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตใหม่อีก 1,000 เมกะวัตต์ ในปีนี้ พร้อมกับขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจหลักด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานในรูปแบบ Smart Energy Solution เพื่อให้สอดรับกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” ด้วยการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573”
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,364 เมกะวัตต์ และได้ต่อยอดความสำเร็จผ่านการถือหุ้น 17.46% ใน “เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง” บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา หลังจากเอ็กโก กรุ๊ป เข้าไปถือหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา เอเพ็กซ์ได้จำหน่ายโครงการพลังงานลมไปแล้ว 2 โครงการ กำลังผลิต 496 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ในปี 2564 เอ็กโก กรุ๊ป รับรู้กำไรจากการดำเนินงานของเอเพ็กซ์ จำนวน 435 ล้านบาท ปัจจุบันเอเพ็กซ์มีโครงการพลังงานสะอาดที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง คิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 492 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีกกว่า 42,000 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ร่วมกับพันธมิตร และ กฟผ. ศึกษาและพัฒนา “การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจน ด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงชนิดออกไซด์แบบแข็ง (SOFC) และเทคโนโลยีแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (SOEC)” ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยจุดเด่นด้านการติดตั้งที่ง่ายและยืดหยุ่น การผลิตไฟฟ้าที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้ รวมทั้งมีการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศและน้ำที่ต่ำมากจนเกือบจะเป็นศูนย์ จึงเป็นการปิดจุดอ่อนของการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน โดยปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้แล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ รวมกำลังผลิตประมาณ 600 เมกะวัตต์
“เอ็กโก กรุ๊ป พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดรับกับทิศทางพลังงานโลก ด้วยการต่อยอดการลงทุนพลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านเอเพ็กซ์ ในขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแห่งอนาคตรุ่นถัดไป เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย” นายเทพรัตน์กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานแบบเต็มปีจากโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” และการลงทุนใน “เอเพ็กซ์” และการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ 3 โครงการ ที่จะเปิดดำเนินการและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2565 ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” ใน สปป.ลาว รวมถึงการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสมดุลในพอร์ตโฟลิโอและจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 5,959 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมสูงถึง 1,364 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (“Peer Power”) บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม (“Innopower”) และบริษัทด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด (“Apex Clean Energy Holdings”)