เอ็กโก กรุ๊ป เติบโตแข็งแกร่ง เผย 5 ปีข้างหน้า มีโรงไฟฟ้าเข้าระบบ 1,500 เมกะวัตต์ พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศต่อเนื่อง
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยผลการดำเนินงานตลอดปี 2557 มีความโดดเด่นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาและดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเป็นผลจากมีโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างเสร็จและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 2 แห่ง และลงทุนในโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วอีก 2 แห่ง ทำให้รับรู้รายได้ทันที พร้อมเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า มุ่งบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาให้แล้วเสร็จ ควบคู่ไปกับการขยายพอร์ตธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศ ทั้งในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ย้ำยังคงรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างน้อยร้อยละ 10 เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปี 2557 ผลประกอบการและสินทรัพย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้วเสร็จ จ่ายไฟฟ้า เข้าระบบก่อนกำหนดที่วางไว้ และเดินหน้าขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2557 เติบโตต่อเนื่องและมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 160,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 29,567 ล้านบาท และมีกำไรก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่าและสัญญาสัมปทาน จำนวน 7,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 330 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไร 14.64 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างน้อยร้อยละ 10 โดยในปี 2557 บริษัทฯ มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 10.67 ซึ่งถือว่าดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้”
ผลประกอบการปี 2557 เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วเสร็จ สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม “โบโค ร็อค วินด์ฟาร์ม” ประเทศออสเตรเลีย ปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 113 เมกะวัตต์ ซึ่งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ก่อนกำหนด 2 เดือน และโรงไฟฟ้า “พลังงานขยะชุมชนหาดใหญ่” จังหวัดสงขลา ปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้น 3.25 เมกะวัตต์ พร้อมทั้งได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วในต่างประเทศ เพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ การลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน “มาซินลอค” ปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 589 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 40.95 ในประเทศฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “สตาร์ เอนเนอร์ยี่” ปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 227 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 20 ในประเทศอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ พื้นที่ของโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ยังมีศักยภาพที่จะขยายหรือเพิ่มหน่วยผลิตในอนาคต ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทฯ ได้ในระยะยาวอีกด้วย
เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจ ปี 2558-2562 แนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ โดยมุ่งขยายพอร์ตธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศ
สำหรับทิศทางในอนาคต ระหว่างปี 2558-2562 นั้น นายสหัส กล่าวว่า “เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมุ่งขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่มีความเชี่ยวชาญ โดยให้ความสำคัญกับการบริหารการเติบโต (Growth management) ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วย 3 กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่ใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2554 ได้แก่ การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดและภายใต้งบประมาณที่วางไว้ และการแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มในสัดส่วนร้อยละ 33.33 ในบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ จำกัด (NED) ซึ่งดำเนินงานและบริหารจัดการโรงไฟฟ้าลพบุรี โซลาร์และวังเพลิง โซลาร์ ส่งผลให้เอ็กโก กรุ๊ป กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ NED และรับรู้รายได้ตามสัดส่วนการลงทุนเพิ่มทันที
พร้อมกันนี้ ในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2559-2562 จำนวน 6 โครงการ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้น ประมาณ 1,498 เมกะวัตต์ โดยทุกโครงการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบ่งเป็นโครงการในประเทศ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า “ขนอมหน่วยที่ 4” จังหวัดนครศรีธรรมราช โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” จังหวัดชัยภูมิ โครงการ “ทีพี โคเจน” และ “เอสเค โคเจน” จังหวัดราชบุรี และโครงการ “ทีเจ โคเจน” จังหวัดปทุมธานี และโครงการในต่างประเทศ จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “ไซยะบุรี” ใน สปป.ลาว” โดยมีวงเงินลงทุน 5 ปีข้างหน้า ราว 44,800 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน มีโครงการในต่างประเทศที่มีศักยภาพที่จะขยายหรือเพิ่มหน่วยผลิตในพื้นที่เดิมซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหิน “ซานบัวนาเวนทูรา” และโรงไฟฟ้า ถ่านหิน “มาซินลอค” ในประเทศฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “สตาร์” ในประเทศอินโดนีเซีย รวมปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้น ประมาณ 500 เมกะวัตต์ ซึ่งหากสามารถสรุปความเป็นไปได้แล้วเสร็จ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 38,000 ล้านบาท และสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
“นอกจากนั้น ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนหลายโครงการ ทั้งภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยในอาเซียน พิจารณาโอกาสการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในท้องถิ่น ทั้งการขยายโครงการที่มีอยู่เดิมและการซื้อสินทรัพย์ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว โดยเฉพาะใน สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทฯ มีฐานทางธุรกิจเดิม และยังพิจารณาโอกาสการลงทุนในประเทศอื่น เช่น เมียนมาร์ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯ ทั้งระยะยาวและระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างน้อยร้อยละ 10 เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับปี 2554-2557 ที่ผ่านมา” นายสหัสกล่าวสรุป
ปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 23 แห่ง คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 3,767 เมกะวัตต์ ใน 5 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา จำนวน 6 โครงการ คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้น ประมาณ 1,498 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลากหลายประเภท ทั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานขยะ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ